ย้อนไปในเดือนเมษายน 2568 พอล แชมเบอร์ (Paul Chambers) นักวิชาการด้านไทยศึกษา และอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรในขณะนั้น ถูกกล่าวหาด้วยมาตรา 112 โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 3 จากข้อความประชาสัมพันธ์งานเสวนาวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ประเทศสิงคโปร์ แม้ไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว
ท้ายที่สุดแล้ว คดีนี้สิ้นสุดลงโดยสำนักอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหา แต่ผลกระทบที่ไม่อาจย้อนคืนคือพอลได้ถูกคุมขังในเรือนจำหนึ่งคืน ติดกำไลอีเอ็ม 21 วัน ทั้งยังต้องสูญเสียหน้าที่การงานในมหาวิทยาลัยนเรศวร และเลวร้ายที่สุดคือต้องออกจากประเทศไทยที่เขารัก และเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่สหรัฐอเมริกา
ในเวลานั้น การกระทำของกองทัพไทยต่อพอลถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ท่ามกลางภาพลักษณ์ของกองทัพที่ก็ไม่ได้สู้ดีมาอยู่แล้วเป็นเวลานาน แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่พอลต้องเผชิญเรื่องนี้และต้องออกนอกประเทศ จุดพลิกผันครั้งใหญ่ของกองทัพไทยก็มาถึง นั่นคือวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่การปะทะระหว่างกองทัพของสองประเทศที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์ปะทะในวันที่ 24 กรกฎาคมทั้งในเขตจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ที่นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายปีและส่งผลให้ประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้จุดกระแสชาตินิยมให้โหมแรงอีกครั้ง และแน่นอนว่าได้ทำให้กระแสนิยมในกองทัพไทยพลิกกลับมาเป็นบวกในทันที ขณะที่รัฐบาลพลเรือนกลับถูกตั้งคำถามต่อศักยภาพในการจัดการปัญหาชายแดนและเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่อาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของทิศทางการเมืองไทยภาพใหญ่นับจากนี้
ฉากทัศน์การเมืองไทยภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือนที่เปลี่ยนไปนั้น เป็นที่คาดการณ์กันไปต่างๆ นานา แต่ภายใต้ความเห็นที่มีอย่างหลากหลายนี้ ทัศนะของคนหนึ่งที่เราได้อยากยินก็หนีไม่พ้นพอล แชมเบอร์ ที่ติดตามศึกษาเรื่องราวการเมืองและกองทัพไทยมาอย่างใกล้ชิด แม้ตัวเขาจะจากประเทศไทยไปแล้วนานหลายเดือน แต่เราก็เชื่อว่าเขายังคงเกาะติดประเด็นกองทัพไทยโดยเฉพาะในห้วงความขัดแย้งกับกัมพูชานี้อยู่อย่างจดจ่อ เราจึงติดต่อพอลเพื่อขอสนทนากับเขาอีกครั้งหลังจากที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับเรามาแล้วเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะตอบกลับเราอย่างรวดเร็วว่ายินดีให้สัมภาษณ์
นอกจากกองทัพไทยแล้ว เรายังจำได้ว่าในหนังสือชื่อดังของเขา Khaki Capital: The Political Economy of the Military in Southeast Asia (2017) เขายังเคยเขียนถึงกองทัพกัมพูชาไว้อย่างละเอียด เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสดียิ่งที่เราจะได้ทำความรู้จักกับกองทัพกัมพูชามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องบทบาทในห้วงความขัดแย้งล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายังไม่ค่อยได้ยินจากที่ไหนกันมากนัก
แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะมีระบอบการปกครองและรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนที่แตกต่างกัน แต่พอลย้ำกับเราตลอดการสนทนาว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่เพิ่งปะทุขึ้นมาใหม่นี้มีนัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกันต่อทั้งสองประเทศ นั่นคือกองทัพจะเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของรัฐบาลพลเรือนของทั้งไทยและกัมพูชา
สิ่งที่พอลพูดหมายความว่าอะไร และเขามองพลวัตการเมืองทั้งสองประเทศภายใต้ความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไร ชวนอ่านทัศนะของพอล รวมไปถึงการเปิดใจเป็นครั้งแรกต่อสื่อมวลชนไทยถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เขาต้องเผชิญเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้ที่นี่
(หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568)
หลังจากที่ต้องเผชิญเรื่องราวการถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ชีวิตคุณในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ขอบคุณที่ถามคำถามนี้นะครับ ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงที่กำลังพยายามปรับตัวกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ถูกบังคับให้ต้องออกจากประเทศไทย ซึ่งน่าเศร้ามาก เพราะผมต้องแยกจากภรรยาซึ่งยังอยู่ที่ไทย ผมรักประเทศไทย รักผู้คนชาวไทย และคิดถึงประเทศไทยมากจริงๆ
ตอนนี้ผมยังคงทำงานในโครงการไทยศึกษากับ ISEAS-Yusof Ishak Institute ประเทศสิงคโปร์ ยังวิจัยและเขียนบทความเกี่ยวกับประเทศไทยอยู่ แต่ต้องทำงานทางไกลเพราะผมอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
บางทีผมอาจจะลองหางานที่สหรัฐอเมริกา แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็จะยังเขียนบทความและสร้างองค์ความรู้วิชาการเกี่ยวกับประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้ ผมยังพยายามช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุกคามด้วยมาตรา 112 และร่วมมีส่วนในการผลักดันประเด็นนี้ด้วย
คุณคิดว่าอะไรคือแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินคดีคุณ
เท่าที่ทราบมาจากแหล่งข้อมูลของผม ข้อกล่าวหาที่ว่าผมละเมิดมาตรา 112 นั้นไม่ได้มาจากสำนักพระราชวัง และไม่ได้มาจากกองทัพภาคที่ 3 โดยตรง แม้พลตรี ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 จะเป็นผู้ยื่นดำเนินคดี และน่าจะได้รับการอนุมัติจาก พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 แต่สิ่งที่ผมสันนิษฐานก็คือ จริงๆ แล้วข้อหานี้มีต้นทางจากระดับอาวุโสกว่านั้นในกองทัพ และอาจมาจากนายพลนอกราชการด้วย
ดังนั้น ผมไม่คิดว่าข้อหานี้มาจากกองบัญชาการกองทัพไทยโดยตรง แต่เชื่อว่ามาจากสมาชิกระดับสูงของกองทัพบก ซึ่งคือกลุ่ม ‘5 เสือ ทบ.’ อาจจะเป็นใครสักคนที่เชื่อมโยงกับผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก เสนาธิการทหารบก ซึ่งคุณก็คงพอเดาได้ว่าผมหมายถึงใครในกลุ่ม 5 เสือ ทบ. นั้น
หากถามว่าแรงจูงใจในการดำเนินคดีผมคืออะไรนั้น ผมคิดว่าก็คงไม่ต่างจากกรณีของคนอื่นๆ หรือนักวิชาการหลายคน นั่นก็คือเพราะผมเขียนถึงกองทัพไทยในแง่มุมที่เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย
แน่นอนว่าทุกประเทศจำเป็นต้องมีกองทัพ แต่ประเทศไทยมีการทำรัฐประหารหลายครั้ง และผมมองว่ารัฐประหาร รวมถึงบางองค์ประกอบของกองทัพ เป็นภัยคุกคามต่อประชาชนและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย เพราะพวกเขาก้าวล้ำขอบเขตอำนาจของตนเอง หมายความว่ากองทัพไร้การควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน (civilian control) และนี่คือสิ่งที่เป็นภัยต่อประชาธิปไตย
ผมคิดว่ามีนายทหารระดับสูงบางคนไม่พอใจงานเขียนของผม นอกจากนี้ ผมยังเคยไปบรรยายงานนี้หลายครั้งที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย สยามสมาคม และสถาบันปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมคิดว่าพวกเขาคงมีความรู้สึกว่า “เอาล่ะ เราต้องหยุดคนคนนี้ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์เราอีกต่อไป” และนี่คือที่มาของเรื่องราวทั้งหมด
หลังจากที่คุณออกจากประเทศไทย ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งก็เชื่อว่าคุณยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเรื่องกองทัพไทย ที่คุณก็คงได้เห็นว่ามีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น นั่นคือการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ภายใต้สถานการณ์นี้ คุณประเมินสถานะปัจจุบันของกองทัพไทยและความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือนไทยในช่วงความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไร
เป็นคำถามที่ดีนะ ผมมองว่าการปะทะระหว่างกัมพูชากับไทยส่งผลให้อำนาจของกองทัพไทยเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับฝ่ายพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
แน่นอนว่าเราเข้าใจว่าในช่วงเวลาสงคราม กองทัพย่อมมีอำนาจมากขึ้น แต่สิ่งที่เป็นผลจากความขัดแย้งครั้งนี้ก็คือกองทัพไทย -โดยเฉพาะกองทัพบก- มีอำนาจมากขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จนถึงขั้นที่ผมมองว่ารัฐบาลภูมิธรรม (เวชยชัย; นายกฯ รักษาการ) ไม่สามารถควบคุมกองทัพได้อีกต่อไป เราไม่สามารถบอกได้แล้วว่ารัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ หรือกองทัพจะเป็นผู้กำหนดนโยบายชายแดน
นั่นหมายความว่าตอนนี้เสียงแตก คือมีทั้งเสียงของกองทัพและเสียงของรัฐบาลพลเรือน สถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อกระบวนการสร้างประชาธิปไตยในไทย
สังเกตว่ากองทัพเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ประชาชน คุณคิดว่าปรากฏการณ์นี้ส่งผลต่อการเลือกตั้งในอนาคตหรือไม่ เช่นเราอาจจะเห็นการผงาดขึ้นของฝ่ายอนุรักษนิยมไหม
เป็นคำถามที่ดีนะ สำหรับผมแล้ว ตั้งแต่เกิดการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา กองทัพก็ได้ความนิยมกลับคืนมาอย่างมาก หลังจากที่เคยเสื่อมความนิยมไปในช่วงรัฐบาลคณะรัฐประหาร ซึ่งตอนนั้นประชาชนไม่พอใจกองทัพมาก
แต่ตอนนี้ภาพลักษณ์ของกองทัพกลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง ความนิยมเช่นนี้หมายความว่าจะเป็นเรื่องยากมากที่จะจำกัดอำนาจของกองทัพ เพราะตั้งแต่การปะทะกับกัมพูชา กองทัพไทย -โดยเฉพาะกองทัพบก- มีความเป็นอิสระจากการควบคุมโดยพลเรือนมากขึ้น คือทั้งเป็นอิสระจากการกำกับดูแลของรัฐบาลพลเรือน และยังได้รับความนิยมจากประชาชนด้วย
นอกจากนี้ ผมคิดว่าสถาบันสูงสุดก็คงอยู่ข้างความเป็นอิสระของกองทัพเช่นกัน เห็นได้จากการที่องคมนตรีเดินทางไปเยี่ยมพลโท บุญสิน พาดกลาง (แม่ทัพภาคที่ 2) ที่ชายแดน และยังมีสัญญาณอื่นๆ อีก
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าความเป็นอิสระมากขึ้นของกองทัพได้รับความชอบธรรมจากสามเหตุผล
หนึ่ง – ง่ายๆ เลยก็คือความมั่นคงแห่งชาติ อันเป็นผลมาจากปัญหาชายแดน
สอง – สถาบันสูงสุดดูเหมือนจะสนับสนุนการเป็นเป็นอิสระของกองทัพ
สาม – การได้รับความชอบธรรมจากประชาชน ที่ดูเหมือนจะสนับสนุนกองทัพด้วย
ขณะเดียวกันก็มีกรณีคลิปเสียงของนายกฯ แพทองธาร (ชินวัตร) ด้วย หมายความว่าตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะพ่ายแพ้ ถ้ามีการเลือกตั้งวันนี้ ผมคิดว่าฝ่ายขวาอาจจะชนะก็ได้ เพราะสังคมมีความผิดหวังมากต่อแพทองธาร นอกจากนี้ พรรคประชาชนยังอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับสองปีก่อน
จริงๆ แล้วผมคิดว่าสิ่งเดียวที่ฝ่ายขวายังขาด คือผู้นำที่เป็นที่ยอมรับ เพราะถ้าเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชาชนก็ยังคงมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อเขามากเกินไป หรืออาจจะเป็นอนุทิน ชาญวีรกูลก็ได้ หรืออาจจะเป็นพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผมไม่แน่ใจ ผมคิดว่าการขาดผู้นำน่าจะเป็นจุดอ่อนเดียวของฝ่ายอนุรักษนิยมในตอนนี้
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง (22 สิงหาคม 2568) ศาลเพิ่งยกฟ้องคดีของทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 คุณมองว่าเรื่องนี้มีนัยอะไรไหม
ผมเดาว่าการที่ศาลตัดสินว่าทักษิณไม่มีความผิดตามมาตรา 112 -ซึ่งกองทัพบกเป็นผู้กล่าวหา- สะท้อนว่าสถาบันสูงสุดพยายามแยกตัวออกจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในการเมืองไทย
นี่เป็นวิธีที่จะป้องกันไม่ให้กลุ่มนิยมเจ้าแบบสุดโต่งตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะถ้าทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจเกิดการประท้วง และนำไปสู่ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ ได้ การยกฟ้องจึงช่วยรักษาภาพลักษณ์ของสถาบันฯ เอาไว้
อย่างไรก็ตามอาจจะมีคำตัดสินอื่นพุ่งเป้าไปที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งของตระกูลชินวัตร แต่เอาเข้าจริง ต่อให้แพทองธารจะได้รับการยกฟ้อง (ในคดีคลิปเสียงสนทนากับฮุน เซน ผู้นำกัมพูชาหลุด ที่จะมีการออกคำพิพากษาในวันที่ 29 สิงหาคมนี้) ผมคิดว่ามันคงไม่มีผลอะไรมากนัก เพราะว่าตอนนี้กองทัพสามารถมีอิสระ ทำอะไรที่ตนต้องการก็ได้ไปแล้ว และจากนี้ไปพรรคเพื่อไทยก็อาจเป็นฉากบังหน้าให้กองทัพปกครองตัวเองอย่างเป็นอิสระได้จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า
จริงๆ ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่อยากให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ เพราะถ้าเลือกตั้งวันนี้ พวกเขาอาจแพ้ แต่ถ้ารอไปถึงปี 2570 พรรคอาจกอบกู้ความนิยมได้อีกครั้ง สิ่งนี้หมายความว่านับจากนี้ไปเป็นเวลาสองปี กองทัพก็จะมีอิสระเต็มที่ที่จะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ
ในอีกทางหนึ่ง ถ้าแพทองธารถูกตัดสินว่ามีความผิด ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็อาจตกไปอยู่กับชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเขาดูอ่อนแอมาก ขนาดที่ผมเปรียบว่าเขาคือ โจ ไบเดน ของประเทศไทย (โจ ไบเดน คืออดีตผู้นำสหรัฐฯ ก่อนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ในสมัยที่สอง) ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยอ่อนแอลงไปอีก
และเนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ ชัยเกษมก็อาจจะอยู่ในตำแหน่งไปอีกสองปี ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมก็อาจรอวันเลือกตั้ง ด้วยความหวังว่าจะได้ผู้นำอนุรักษนิยมที่สามารถอยู่ครบวาระสี่ปี ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือพยายามสร้างผู้นำคนใหม่ที่จะสามารถขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
แสดงว่าคุณคิดว่าการยุบสภายังไม่น่าจะเกิดขึ้นใช่ไหม
ใช่แล้ว ผมยังไม่เห็นว่าจะเกิดขึ้น เพราะว่ากันตามตรง พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้มีการยุบสภา แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีดีลบางอย่าง เช่น การยอมยุบสภาเพื่อแลกกับการที่แพทองธารจะถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด
มันก็อาจมีการยุบสภาจริงก็ได้ แต่ถ้าจะให้พรรคอนุรักษนิยมจัดตั้งรัฐบาลได้จริง ผมว่าก็คงต้องอาศัยการรวมตัวกันของพรรคอนุรักษนิยมเล็กๆ ซึ่งสุดท้ายฝ่ายอนุรักษนิยมอาจชนะเพราะกำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้
แต่สิ่งที่ผมยังไม่เห็นชัดคือใครจะเป็นผู้นำอนุรักษนิยมที่มีความนิยมจริงๆ ผมไม่คิดว่าพีระพันธุ์จะได้รับความนิยมมากขนาดนั้น ส่วนอนุทินก็อาจจะมีความเป็นไปได้บ้าง แต่ถ้าเป็นประยุทธ์ ผมไม่เห็นภาพว่าเขาจะกลับมาอีก แต่ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ ต้องรอดูกันต่อไป
แล้วคุณคิดว่ารัฐประหารเป็นไปได้หรือเปล่า เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเงื่อนไขก็ค่อนข้างพร้อม ทั้งการมีสุญญากาศทางการเมือง และการที่กองทัพกลับมาได้รับความนิยม
ผมคิดว่าเป็นไปได้ แต่เฉพาะในฉากทัศน์เดียวเท่านั้น ก่อนอื่นผมอยากเน้นว่าตอนนี้กองทัพไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหาร เพราะพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันอ่อนแอมาก อย่างไรก็ตาม สุญญากาศทางการเมืองอาจกลายเป็นข้ออ้างให้กองทัพทำรัฐประหารได้ แต่ถ้าพวกเขาทำจริง ก็เสี่ยงที่จะกลับมาไม่เป็นที่นิยมอีกครั้ง
ในมุมของผม ความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีการทำรัฐประหาร คือกรณีที่พรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในกรณีนั้น ผมคิดว่าจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐประหารโดยตุลาการ’ (judicial coup) คือมีคำตัดสินของศาลที่บ่อนทำลายพรรคประชาชน หรืออย่างน้อยก็แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และถ้าหลังจากนั้นมีการประท้วงตามมา ผมว่ากองทัพก็อาจจะใช้จังหวะนั้นก้าวเข้ามาแทรกแซง นี่คือสถานการณ์เดียวที่ผมมองว่ารัฐประหารยังเป็นไปได้
กลับมาที่ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในตอนนี้ มีหลายทฤษฎีที่วิเคราะห์ว่าอะไรคือสาเหตุเบื้องหลังกันแน่ แล้วสำหรับคุณ คุณว่าทฤษฎีไหนที่เป็นไปได้ที่สุด
ผมคิดว่าเราต้องมองเรื่องนี้ในหลายระดับ
ในระดับภาพใหญ่ แน่นอนว่ามีกระแสชาตินิยมตอบโต้กัน (counter-nationalism) ระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่คำถามสำคัญคือ “ทำไมมันเกิดขึ้นตอนนี้” และถ้ามองในระดับเล็ก ผมคิดว่ามันเริ่มจากความบาดหมางระหว่างฮุน เซน กับทักษิณ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าฮุน เซนเป็นฝ่ายที่มีความผิดมากกว่า
และผมคิดว่าฮุน เซน โกรธทักษิณ จากสามเหตุผล
หนึ่ง – ปี 2566 ทักษิณมีดีลจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งในนั้นมีพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการปะทะไทย-กัมพูชาในช่วงปี 2551-2554 สิ่งนี้ทำให้ฮุน เซนไม่พอใจ
สอง – ฮุน เซนไม่พอใจที่ทักษิณสนับสนุนให้มีคาสิโนถูกกฎหมายในไทย
สาม – ฮุน เซนไม่พอใจที่เพื่อไทยสนับสนุนการกวาดล้างศูนย์สแกมเมอร์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลเชิงนโยบาย แต่ก็อาจมีเหตุผลแอบแฝงอื่นๆ ด้วย ซึ่งอีกประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือเศรษฐกิจกัมพูชาที่กำลังตกต่ำ ทำให้ฮุน เซนจำเป็นต้องหาแพะรับบาป และไทยก็เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นแพะ
เราก็เคยเห็นมาก่อนแล้วว่าฮุน เซน ใช้การปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อสร้างความนิยมให้พรรคของตน ดังนั้น ผมคิดว่าความตึงเครียดเริ่มต้นจากความบาดหมางระหว่างฮุน เซนกับทักษิณ แต่หลังจากนั้นก็มีอีกปัจจัยเข้ามา คือ พลเอกบุญสิน แม่ทัพภาคที่ 2 ที่เริ่มใช้อำนาจอย่างอิสระตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งจริงๆ อาจย้อนไปไกลกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่ผู้บัญชาการทหารบกก็เคยแสดงท่าทีที่ค่อนข้างเป็นอิสระจากนายกรัฐมนตรี ในประเด็นข้อพิพาทเรื่องเกาะกูดกับกัมพูชา
จุดยืนของพลโทบุญสินที่เป็นอิสระจากรัฐบาลกลับได้รับความนิยมจากสังคมไทย เพราะคนไทยจำนวนมากไม่พอใจฮุน เซนอยู่แล้ว ขณะที่รัฐบาลไทยก็พยายามควบคุมอำนาจของพลโทบุญสิน และยืนยันซ้ำๆ ว่ารัฐบาลกับกองทัพมีจุดยืนไปในทางเดียวกัน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
การขาดเอกภาพในนโยบายต่างประเทศของไทย กลายเป็นจุดอ่อนที่ฮุน เซนใช้ได้โดยตรง เขาสร้างเรื่องเล่า (narrative) ไว้ก่อนแล้วว่าไทยคือผู้ร้าย จนสุดท้ายก็มีคลิปเสียงแพทองธารบอกฮุน เซนว่าฝ่ายตรงข้ามกับเราคือฝ่ายของพลโทบุญสิน สิ่งนี้สะท้อนชัดถึงปัญหาการควบคุมกองทัพ และความอ่อนแอของการกำกับดูแลโดยพลเรือน
ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ผมเชื่อว่านำมาสู่ความตึงเครียดในตอนนี้
แล้วถ้ามองไปที่ฝั่งของกัมพูชา คุณมองบทบาทของกองทัพกัมพูชาในความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไร
เป็นคำถามที่ดีครับ ผมขอพูดสองประเด็น ประเด็นแรก ผมคิดว่ากัมพูชามีการกำกับดูแลกองทัพจากพลเรือนมากกว่าที่เราคิด เพราะฮุน เซนเป็นเผด็จการ เขาสามารถครอบงำประเทศได้จริงๆ เนื่องจากว่าเขาอยู่ในอำนาจมานาน
แต่ประเด็นที่สองก็คือว่า ปัญหาของกัมพูชาคือเรื่องสายบังคับบัญชาและระบบการสั่งการและควบคุม กองทัพกัมพูชาไม่ได้มีระบบซับซ้อนที่จะเชื่อมต่อจากส่วนกลางไปยังชายแดน ดังนั้น แม้ฮุน เซนจะมีอำนาจครอบงำกองทัพและทหาร แต่บางครั้งทหารแนวหน้าเองก็ไม่ได้รับคำสั่งโดยตรง ต่อให้ผมไม่คิดว่ามีผู้บังคับบัญชาท้องถิ่นคนไหนที่จะไม่เชื่อฟังฮุน เซน แต่เมื่อการสื่อสารและการประสานงานของกองทัพไปยังชายแดนยังพัฒนาไม่มากนัก ก็เป็นประเด็นอาจทำให้เกิดสถานการณ์ที่ทหารกัมพูชายิงมาที่ไทย โดยไม่มีการประสานงานสั่งการมา ปัญหานี้แตกต่างจากไทยเมื่อเทียบกับไทยที่กองทัพพัฒนามากกว่า ดังนั้น แม้ฮุน เซนจะรวมอำนาจได้ โดยเฉพาะในช่วง 2560-2561 แต่เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมกองทัพได้อย่างเต็มที่
การที่สายบังคับบัญชาของกัมพูชาไม่เป็นระบบระเบียบ ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีส่วนให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ และจริงๆ แล้ว ข้อตกลงหยุดยิงในเดือนกรกฎาคมก็อ่อนแอมาก แม้ว่าฝ่ายพลเรือนจะดูเหมือนว่าทำข้อตกลงกัน แต่ข้อตกลงนั้นก็ไม่สามารถใช้ได้จริงจนกว่าทหารทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตาม นี่แสดงให้เห็นว่าไม่มีการควบคุมทหารโดยพลเรือนอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ แต่ฝั่งกัมพูชาด้วย ถือได้ว่ามันกระจัดกระจายยุ่งเหยิงมาก
ถ้าเทียบความขัดแย้งครั้งนี้กับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในช่วงปี 2551-2554 คุณเห็นความแตกต่างอย่างไรบ้าง
ผมจำได้ชัดเจนว่าตั้งแต่ 2551-2554 มีผู้เสียชีวิตและการปะทะตามชายแดน แต่ความขัดแย้งในปี 2568 ครั้งนี้แย่กว่ามาก มีจรวดกัมพูชาตกใส่โรงพยาบาลไทยและทำให้มีคนตาย เหตุการณ์เมื่อปี 2551-2554 นั้นถือว่าเบากว่า แม้จะมีคนเสียชีวิตก็ตาม
ตอนนั้นความตึงเครียดเริ่มลดลงเมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ารับตำแหน่งนายกฯ และมีสิ่งที่เรียกว่า ‘การทูตฟุตบอล’ (football diplomacy) ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงและ สส.พรรคเพื่อไทย ไปเล่นฟุตบอลกระชับมิตรกับ สส. กัมพูชา และต่อมาเมื่อประยุทธ์เป็นนายกฯ ในปี 2557 เขาก็ไม่ได้ไปรื้อฟื้นหรือสร้างความขัดแย้งกับกัมพูชาเพิ่ม
แต่ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป ทักษิณและฮุน เซนมีความบาดหมาง -ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในปี 2551-2554- ทำให้เกิดความขัดแย้ง และเมื่อเกิดความวุ่นวายชายแดน พลโทบุญสินก็เริ่มปฏิบัติการอย่างอิสระ จากนั้นสถานการณ์ก็ลุกลามกลายเป็นการปะทะและความรุนแรงอย่างเปิดเผย
ในหนังสือของคุณ Khaki Capital คุณกล่าวถึงช่วงที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551-2554 ว่ากองทัพกัมพูชาเวลานั้นได้ประโยชน์จากงบประมาณที่เพิ่มขึ้น และยังสามารถเข้าไปยึดแย่งที่ดินของชาวบ้านตามแนวชายแดนเพื่อประโยชน์ทางการทหาร แล้วถ้าเป็นความขัดแย้งในเวลานี้ คุณว่ามันจะเป็นโอกาสให้กองทัพกัมพูชาได้ทรัพยากรและอำนาจมากขึ้นเหมือนตอนนั้นอีกหรือไม่
งบประมาณของกองทัพกัมพูชายังน้อยกว่ากองทัพไทยมาก นั่นหมายความว่าไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับทหารในพื้นที่หรือแม้แต่ผู้บังคับบัญชาในภูมิภาคและรอบนอกส่วนกลาง ดังนั้น ฮุน มาเนตนายกรัฐมนตรี และ ฮุน เซน นายกฯ คนก่อนหน้า จึงต้องส่งเสริมธุรกิจของกัมพูชาที่มีเครือข่ายความสัมพันธ์กับกองทัพ
ที่น่าสนใจคือ ในช่วงปี 2551-2554 ความสัมพันธ์แบบนี้ช่วยค้ำจุนเศรษฐกิจของกองทัพ เพราะหน่วยงานของกองทัพในภูมิภาคพระวิหารสามารถควบคุมธุรกิจและเข้ายึดครองที่ดินได้ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจกัมพูชาตกต่ำลง การจัดสรรงบประมาณให้กองทัพจึงเป็นเรื่องยากขึ้น
ด้วยบริบทเช่นนี้ เหตุการณ์การปะทะกับไทยอาจทำให้กองทัพกัมพูชาได้อำนาจเพิ่มขึ้น และแม้ว่าฮุน เซนยังคงอยู่ในอำนาจเต็ม แต่ดูเหมือนอำนาจจะค่อยๆ กระจายไปตกอยู่ในมือพวกนายพลทีละเล็กทีละน้อย และในระยะยาว พวกเขาอาจมีความเป็นอิสระและอิทธิพลมากขึ้น
การที่อำนาจค่อยๆ กระจายไปตกอยู่ในมือพวกนายพลทีละเล็กทีละน้อย อาจเป็นภัยต่ออำนาจของฮุน เซนด้วยใช่ไหม
ใช่ มันเป็นไปได้ นี่แหละคือสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ และตอนนี้นายกฯ กัมพูชาคือ ฮุน มาเนต ไม่ใช่ฮุน เซน ดังนั้นอำนาจของตระกูลฮุนจึงอ่อนแรงลงกว่าแต่ก่อน แถม ฮุน เซนเองก็มีอายุมากขึ้นและสุขภาพไม่ค่อยดี
เหตุการณ์ปะทะกับไทยครั้งนี้ย่อมทำให้กองทัพกัมพูชามีอำนาจมากขึ้น แต่ผมไม่เห็นว่ามีผู้บัญชาการกัมพูชาคนไหนในตอนนี้ที่จะขึ้นมามีอำนาจแทนตระกูลฮุนได้ แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพกัมพูชาก็จะมีอำนาจมากขึ้น อย่างน้อยก็ในเชิงสถาบัน
โดยรวมแล้วสามารถสรุปได้ว่าความขัดแย้งนี้มีนัยต่อทั้งไทยและกัมพูชาอย่างไร และคุณมองสถานการณ์ในอนาคตของทั้งสองประเทศหลังความขัดแย้งอย่างไร
สำหรับไทย ความขัดแย้งครั้งนี้ทำให้กองทัพไทยกลับมาแสดงอำนาจในทางการเมืองภายในประเทศอีกครั้ง เราเห็นการฟื้นตัวของอำนาจกองทัพคล้ายกับปี 2551 หลังเกิดความขัดแย้งกับกัมพูชาในปีนั้น กองทัพกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หลังจากที่ในการรัฐประหารปี 2549 กองทัพไทยได้สูญเสียความนิยมไป จนส่งผลให้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง แต่ในปี 2551 กองทัพก็กลับกลายเป็นฮีโร่และมีอำนาจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เพราะฉะนั้นผมมองว่าความขัดแย้งในปี 2568 เป็นเหมือนบทที่สองของเรื่องนี้ แม้ว่าการที่กองทัพมีอำนาจเพิ่มขึ้นจะดีต่อความมั่นคงของไทย แต่ประชาธิปไตยไทยจะถดถอยลงจากกองทัพที่มีอำนาจมากขึ้น
สำหรับกัมพูชา เหตุการณ์นี้จะส่งผลให้กระแสชาตินิยมในหมู่ชาวกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น และในระยะสั้นอาจทำให้อำนาจของตระกูลฮุนแข็งแกร่งขึ้น แต่ในระยะยาว มันทำให้เพิ่มอำนาจที่กองทัพกัมพูชามีต่อรัฐบาล ซึ่งไม่ดีต่อการผูกขาดอำนาจต่อเนื่องของตระกูลฮุน
สำหรับประเด็นเรื่องประชาธิปไตยกัมพูชา ผมก็ไม่คิดว่ากัมพูชาเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีลักษณะภายนอกที่เป็นแบบนั้น แต่แน่นอนว่าการปะทะครั้งนี้ไม่ส่งดีต่อรัฐบาลพลเรือนของทั้งสองประเทศ ความขัดแย้งนี้จะเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจพลเรือนในการควบคุมกองทัพทั้งในไทยและกัมพูชา
แล้วในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คุณมองว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยจะเลวร้ายไปอีกนาน ซึ่งไม่ดีต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย
สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่านักการเมืองสามารถใช้ลัทธิชาตินิยมเพื่อให้ได้ขยายอิทธิพลและความชอบธรรมในสายตาประชาชนได้ และผมคิดว่ามันได้ผลนะ เช่นในกรณีฮุน เซนกับประชาชนกัมพูชา ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะพยายามอีก เพราะถ้ามันได้ผล ทำไมจะไม่ลองอีกล่ะ ผมคิดว่านี่จะเป็นแนวโน้มที่จะเกิดต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ดูแปลก คือความขัดแย้งระหว่างฮุน เซนและทักษิณ กลับเป็นประโยชน์ต่อกองทัพไทยอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้จะชัดเจนว่า ฮุน เซนไม่ได้ร่วมมือกับกองทัพไทยเพื่อให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุดวิกฤตนี้กลับเป็นประโยชน์ต่อกองทัพไทย ซึ่งไม่ได้เป็นมิตรกับฮุน เซน ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
คุณคิดว่ามีอะไรที่อาจเข้ามาเป็นจุดพลิกผันของสถานการณ์ตอนนี้ได้อีกไหม
ผมคิดว่าอาจมีปัจจัยบางอย่าง เช่น หากเกิดการปะทะอีกครั้ง หรือมีทหารไทยเสียชีวิตจากกับระเบิดที่กองทัพกัมพูชาวาง เหตุการณ์เช่นนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดและนำไปสู่การปะทะมากขึ้น
ถ้าการปะทะเหล่านั้นเกิดขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อกองทัพไทยในแง่ของความเป็นอิสระจากการควบคุมของพลเรือน และทำให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน กัมพูชาจะมองว่าการปะทะเหล่านี้เป็นภัยต่อประชาชน ฮุน เซนสามารถใช้เหตุการณ์แบบนี้ในการปลุกกระแสลัทธิชาตินิยมเพื่อสนับสนุนให้ตระกูลของเขาและรัฐบาลของเขามีอำนาจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ยิ่งกองทัพกัมพูชามีส่วนช่วยสนับสนุนฮุน เซนมากเท่าไร ก็อาจยิ่งเพิ่มอำนาจของกองทัพภายในประเทศมากขึ้นเท่านั้น และแน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาก็จะแย่ลงอย่างมาก ซึ่งไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา การทหาร ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพไทย ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ทหารกับการเมือง หลักการควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน (Civilian Control) ชาตินิยม ฮุน เซน กองทัพกัมพูชา พอล แชมเบอร์ Paul Chambers ฝ่ายอนุรักษนิยม ฮุน มาเนต ทักษิณ ชินวัตร แพทองธาร ชินวัตร มาตรา 112 กองทัพบก ประชาธิปไตยไทย
เรื่อง: วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา
บรรณาธิการ The101.world อดีตผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวไทยและญี่ปุ่น จบป.ตรีด้านเศรษฐศาสตร์ จากจุฬาฯ จบป.โทด้านเอเชียศึกษาจาก ม.เทคโนโลยีนันยาง สิงคโปร์
เรื่อง: ณัชชา สินคีรี
จบการศึกษาจากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนใจประเด็นด้านสังคมศาสตร์ ฝันอยากเปลี่ยนโลกด้วยการเล่าเรื่อง